กรองร้อยถ้อยคำ

วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

“พระแม่แห่งแผ่นดิน ทรงสอนศิลป์เสริมศาสตร์”





                                        ภาพจาก http://www.oknation.net/blog/pakapoo/2009/08/12/entry-2

วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ 

                อ้าองค์พระมาตุรนิรันดร์                    อุระมั่นพระเมตตา
        ยิ่งยืนพระชนมวสา                                  ธุระเอื้อผดุงคน
                ทรงสอนและส่งวิจิตศิลป์                    บ่มิสิ้นฤทัยดล
        เสริมศาสตร์และเอื้อนิกรโพ้น                       หิตผล ณ ผองไทย
                เพริศแพร้วพระอัจฉริยะล้ำ                 ธ แนะนำวิธีให้
        ปวงราษฎร์สิซึ้งพระหฤทัย                          คุรุกรรม ธ ทรงมี
                ช่วยเหลือประชาคุณุปการ                  บริบาลประเพณี
        เคียงคู่บรมคุรุบดี                                    สุภสิ่ง ลุ แผ่นดิน
                สอนศิลป์และเสริมศิลปศาสตร์             ถิระชาติมิรู้สิ้น
        เอกองค์อนงค์กิติบดินทร์                            สิริกิตติ์ ธ เกื้อกูล
                ขอเทพพิสิฐจตุรพร                          ภยร้อนมลายสูญ
        เปล่งรัศมิ์เกษมกิรติพูน                              นิรทุกข์นิรันดร์เทอญ

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
                                     ข้าพระพุทธเจ้า “Mamomcandy


                                                                 ประพันธ์ไว้เมื่อ  ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เศรษฐกิจพอเพียงของพระผู้ทรงเป็นครูของแผ่นดิน

วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ 
                        
                             อ้าองค์พระยิ่งนฤบดินทร์           สยมินทร์พระภูไท
                ปวงข้าประจักษ์ ณ หฤทัย                  มหชน ณ ชาวเรา
                        ช่วยเหลือประชานรก็ชื่น            ละสะอื้นจะบรรเทา
                หลักเศรษฐกิจวิริยะเอา                     ทนุราษฎร์ผดุงชน
                        พอเพียงพระทรงวจนะสอน        นะระกรประสบผล
                อยู่ดีมิอดวิริยะทน                           ก็จะพ้นพิภัยพาล
                        เป็นครูและรู้วิทยกล้า               ธ นำพาวิถีฐาน
                แนวทางกระจ่างพัฒนดาล                 นวทฤษฎีไกล
                        ทรงเปี่ยมมหัจฉริยเลิศ              ชนเทิดมิรู้คลาย
                เอกองค์บรมครุไผท                         คุณะธรรมคุณากร
                        ขอองค์พระพุทธปฏิมา              คณนาประธานพร
                ให้ทรงเกษมวรบวร                          นิรโรคะภัยเทอญ

 ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
               ข้าพระพุทธเจ้า “Mamomcandy


                                                                 ประพันธ์ไว้เมื่อ  ๖ ตุลาคม ๒๕๕๔

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นิราศเมืองเลย



   


  




         ก็ถึงกาล ห่างไกล เมืองเลยแล้ว  เสียงเจื้อยแจ้ว แว่วสำเนียง เพียงข้างหลัง
ถ้อยคำพูด จับใจ เมื่อได้ฟัง                      ฝากความหวัง จะกลับมา ถ้ายังรอ
เข้าด่านซ้าย ไปภูเรือ ถึงเชียงคาน              เมื่อวันวาน ยังแว่ว ฮั่นแน้วก๋อ
ประทับใจ แก่งคุดคู้ ผู้โค้งงอ                    หน้าที่หนอ กั้นกลาง แดนลาวไทย
โอ้ถนน คนเดินเท้า ก้าวเดินแล้ว               ช่างสมแนว อบอุ่น อีกสดใส
ผู้คนเดิน กินเที่ยว สบายใจ                     คนทุกวัย แย้มยิ้ม ปริ่มอุรา
พอตื่นเช้า ขึ้นมา ตอนฟ้าเปิด                   แสนล้ำเลิศ ร่วมกัน ทำบุญหนา
ได้ตักบาตร ข้าวเหนียว กับน้องยา             วาสนา ร่วมกัน ทุกวันวาร
แล้วนิราศ จากจร เชียงคานน้อง                ได้มาล่อง ลงแพ อ่างน้ำหมาน
แผ่นน้ำกว้าง สุดตา ใจแช่มบาน                วันคืนผ่าน ห่างไป ใจยังตรึง
อากาศหนาว หมอกเย็นเยือก เลือกกอดน้อง ต่างประคอง ภูเรือหมาย ไปให้ถึง
สวยงามยิ่ง อิงแอบ ภูกระดึง                    ไม่อยากถึง เวลาจาก พรากความงาม
ยานยนต์คล้อย เคลื่อนมา ชายป่าแล้ว         เห็นแต่แนว ไม้ใหญ่ ให้เกรงขาม
สงบเย็น ในวัดป่า ห้วยลาดงาม                 ยลทุกยาม สามโลกก้อง ซร้องศรัทธา
ที่ด่านซ้าย ไหว้พระธาตุ ศรีสองรัก             เป็นประจักษ์ สักขี ปรารถนา
จ้าวลาวไทย ร่วมใจสร้าง กลางคงคา           ป้องนครา เพื่อสัญญา สัจจะกัน
ถัดลงไป วัดใหญ่ ที่ใกล้ชิด                       เนรมิต วิปัสสนา ดั่งสวรรค์
ทั่วเขตคาม งามสง่า พุทธาพลัน                 มุ่งจิตอัน สงบเย็น เห็นเมืองแมน
อยู่กับวัน ปัจจุบัน ขณะนี้                        ทำความดี ก่อนดับไป ใจสุขแสน
หมั่นทำทาน มีศีลธรรม ล้ำเลิศแทน       คนทั่วแคว้น ประสบสุข ทุกข์ผ่อนคลาย


วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กับดักทางความคิดในห้องเรียน


วันหนึ่ง ไอสไตน์ถามนักเรียนว่า 
          "มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ
       ปรากฏว่า คนหนึ่งตัวสะอาด อีกคนตัวเลอะเทอะ เต็มไปด้วยเขม่า ขอถามหน่อยว่า

       คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน"




นักเรียนคนหนึ่งตอบว่า  "ก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ"
ไอสไตน์ พูดว่า            "งั้นเหรอ คุณลองคิดดูให้ดีนะ คนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัว
        สกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควัน เขาก็ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน
        ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆ เลย    ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด
        ก็ต้องคิดว่า ตัวเองก็สะอาดเหมือนกัน  ตอนนี้ ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า ใครที่จะ
         ไปอาบน้ำก่อนกันแน่"
นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า
          " อ้อ ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่
แต่คนที่ตัวสกปรก เห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย  ดังนั้นคนที่ตัวสะอาด
ต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย ..... ถูกไหมครับ...."
ไอสไตน์มองไปที่นักเรียนทุกคน   นักเรียนทุกคน ต่างเห็นด้วยกับคําตอบนี้
ไอสไตน์ ค่อยๆ พูดขึ้นอย่างมีหลักการและเหตุผล
                  " คําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน จะเป็นไปได้ไงที่คนหนึ่งสะอาด อีกคนหนึ่งจะสกปรก   นี่แหละที่เขาเรียกว่า " ตรรก " เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจนสะดุด  ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผลแห่งเรื่องราวที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ "ตรรก"

          จะหาตรรกได้ก็ต้อง กระโดดออกมาจาก    "พันธนาการของความเคยชิน"
                                                หลบเลี่ยงจาก    "กับดักทางความคิด"
                                                หลีกหนีจาก       "สิ่งที่ทําให้หลงทางจากความรู้จริง"
                                                ขจัด                   "ทิฐิแห่งกมลสันดาน"
           จะหา ตรรก ได้ก็ต่อเมื่อ คุณสลัดหมากทั้งหมด ที่คนเขาจัดฉาก วางล่อคุณไว้


                                  บทความจาก   http://www.unigang.com/Article/13088

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

โคลงสี่สุภาพ ดอกปีบ


                             กาสะลองถ่องแท้           ปลิวลม  เจ้าเอย
                 มีกลิ่นหอมชวนดม                  ยิ่งแล้ว
                 สีขาวผ่องอารมณ์                   สดชื่น  ดังว่า
                 หอมกลิ่นโชยเพริดแพร้ว           แผ่วพริ้วยินดี
                         ดอกปีบมีชื่อแท้              โสภา จริงเฮย
                 กลีบคลี่สะอาดตา                   แจ่มล้น
                 ดุจหญิงหยิ่งกายา                   งามเด่น        
                 คุณค่ามีท่วมท้น                      ใช่แล้วกาสะลอง        
                    มามอมเห็นดอกปีบกลิ่นหอม สีขาวสวยร่วงลงพื้น เด็กคนหนึ่งเก็บมาวางเรียงเป็นรูปหัวใจดวงโต จึงได้แต่งร้อยกรองของมามอมขึ้นจากใจ  ปีปหรือกาสะลอง เป็นต้นไม้ยืนต้นที่มีลำต้นที่ดูแข็งแรง ร่มใบแผ่กว้างสวยงาม ดอกสีขาวกลิ่นหอมหวนชวนชื่นใจ และที่สำคัญยังเป็นไม้สมุนไพรที่ให้คุณค่ามากมาย ทั้งส่วนดอก ใบ และรากวันนี้ดอกปีบกำลังบานสะพรั่ง ขาวนวลทั้งต้น ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ไปทั่วบริเวณ


ครูดีวิถีงาม


          Candy เป็นชื่อที่อาจารย์ฝรั่งของมามอมเป็นคนตั้งให้เมื่อมามอมยังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ซึ่งย้อนอดีตไปหลายสิบปีเหลือเกิน ท่านเรียกมามอมใน class ว่าแคนดี้เสมอ ท่านคงเห็นว่าเราตัวเล็ก ๆ (ตอนนั้น) ใส ๆ กระมังอยากจะยกตัวอย่างถึงการครองตัว ครองตน ของท่านอาจารย์ฝรั่งของมามอมท่านนี้...ท่านเป็นสุภาพสตรีที่ผอม สูง รูปร่าง หน้าตาสวยงาม ท่านมีวิถีชีวิตของการเป็นครูที่แท้จริง..มีความสมถะ เตรียมพร้อมด้านการสอน  มุ่งมั่นตั้งใจในการให้ศิษย์ได้รับความรู้ เป็นสาวโสดที่วางตัวดีท่ามกลางชายหนุ่ม ทั้งนักศึกษาและอาจารย์ชายท่านเป็นชาวต่างชาติที่อยู่ไกลบ้านไกลเมืองของตน แต่ท่านก็ทำตัวเป็นกุลสตรีที่รักในการทำงานด้านการสอนซึ่งมามอมพบว่า ท่านไม่ได้สอนลูกศิษย์แค่วิชาที่เรียนเท่านั้น แต่ท่านสอนลูกศิษย์คนไทย ให้รู้ว่าผู้หญิงทำงานต้องทำตัวให้มีคุณค่าได้อย่างไรไปด้วยค่ะ….ตราบจนวันนี้ มามอมยังระลึกถึงท่านอยู่เสมอท่านคือครูของมามอม

เรามองตัวเองอย่างไร



          สาวชาวไต้หวันผู้หนึ่ง เป็นโรคสมองพิการ ( cerebral palsy) แต่กำเนิดไม่สามารถเคลื่อนไหวตามปรกติ และพูดจาไม่ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธาเธอสามารถเรียนจบปริญญาเอกจากสหรัฐฯ แล้วแสดงทัศนคติของเธอในที่ต่างๆ เพื่อให้กำลังใจและช่วยเหลือผู้อื่น
          ครั้งหนึ่ง เธอรับเชิญไปบรรยายด้วยการเขียน (คนพูดไม่ได้ต้องใช้วิธีเขียน)หลังบรรยายเสร็จ มีนักเรียนคนหนึ่งตั้งคำถามว่า
          ท่านอยู่ในสภาพนี้โดยกำเนิด แล้วท่านไม่รู้สึกน้อยใจรึ? ท่านมองตัวเองอย่างไร?”
คำถามอันละเอียดอ่อนนี้ สร้างความตะลึงแก่ที่ประชุมไม่น้อย ต่างเกรงว่าคำถามนี้จะทิ่มแทงจิตใจของเธอ ปรากฏว่า เธอหันหน้าไปยังแผ่นกระดาน เขียนตัวหนังสืออย่างไม่สะทกสะท้านว่า
          ฉันมองดูตัวเองอย่างไร?”  เธอหันหน้ายิ้มให้ผู้ร่วมประชุม แล้วเขียนข้อความต่อ
1.ฉันน่ารักมาก
2.ขาฉันเรียวยาวสวยดี
3.คุณพ่อคุณแม่รักฉันจัง
4.พระเจ้าประทานรักแก่ฉัน
5.ฉันวาดภาพได้ ฉันแต่งหนังสือได้
6.ฉันมีแมวที่น่ารัก       และ


ขณะนั้น ที่ประชุมเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดจาใดๆ เธอหันกลับมามองดูทุกคน แล้วเขียนคำสรุป
บนแผ่นกระดานว่า
          “ฉันมองแต่สิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด ฉันชอบทัศนคติต่อชีวิตแบบนี้ ซึ่งถูกหลักสุขภาพจิตและสบายใจด้วย
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงปรบมือดังสนั่นในที่ประชุมพร้อมทั้งน้ำตาที่สะเทือนใจจากหลายๆคน
ณ วันนั้น ทัศนคติเชิงสุขนิยมและบทพิสูจน์ของเธอเพิ่มกำลังใจแก่ผู้คน มากมาย
          ผู้เป็นโรคสมองพิการผู้นี้คือ น.ส.หวางเหม่ยเหลียน ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตจาก UCLA
ผู้เคยจัดนิทรรศการภาพเขียนส่วนตัวหลายครั้งในไต้หวัน
ความสุขไม่ได้อยู่ที่คุณครอบครองสิ่งใดมากแค่ไหน
แต่อยู่ที่คุณมีทัศนคติอย่างไรในการมองสิ่งต่างๆ

ที่มา   http://www.kwamru.com

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ร่ายห่อโคลงชมพันธุ์ไม้



ร่ายห่อโคลง 

อันสถานศึกษา           มีนานาพันธุ์ไม้          พี่น้องได้ชื่นชม       แสนรื่นรมย์ดวงใจ
เขียนอ่านใต้ร่มเสลา   มิขลาดเขลามีพลัง   เฝ้าดูฟังร่มไม้         บัวสายได้ชื่นชม
สุขสมปาริชาด            ขาวสะอาดพิกุล        อบอุ่นจามจุรี           ศักดิ์และศรีของเรา
อโศกมิเศร้าเฝ้ามอง   ผกากรองรอบรั้ว       งดงามทั่วโรงเรียน   เวียนรอบประดู่ลาย
เห็นบัวสายชมพู          ตื่นและรู้ตะลิงปลิง 


                        ขอแอบอิงร่มรั้ว มิเบื่อหมายใจสู้ ใฝ่สร้างความดี แล้วนา

                            พันธุ์พฤกษาที่แท้ เปรียบดัง    เป็นเช่นกรอบพลัง แห่งข้า

          เหมือนกางแผ่ใบบัง ภัยผ่าน                     เอมอิ่มมิเคยล้า นั้นแล้วพฤกษ์พรรณ


แต่งร่ายสุภาพตามผัง ไปเรื่อย ๆ จบร่ายด้วยโคลงสองสุภาพ แล้วต่อโคลงสี่สุภาพ 1 บท 
เป็นการบ่นแบบคนแก่ไปเรื่อย ๆ นะคะ

เลี้ยงลูกชายไม่ง่ายเลย

         เวลาลูกสาวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เปรียบดังดอกไม้ผลิบานในฤดูหนาว สดสวยละมุนละไม ในขณะที่ลูกชายเริ่มวัยแรกรุ่นด้วยเสียงที่แตกพร่า แขนขายาวเก้งก้าง ทำตัวออกห่าง พูดด้วยก็ไม่ค่อยฟัง ถามก็ตอบอย่างเสียไม่ได้ ดูไปคล้ายลูกม้าป่าพยศ อารมณ์หงุดหงิด พูดจาไม่เพราะขัดหูคนฟังชอบกล โดยเฉพาะกับพ่อแม่ คิดแล้วน่าหงุดหงิดใจพอประมาณ การใช้วิธีเข้มงวด บังคับด้วยกำลังไม่อาจกำราบลูกม้าป่าพยศนี้หรือคุมขังเขาไว้ได้ ไม่ช้าเขาก็จะแหกคอกไปเป็นอิสระตามสัญชาตญาณเรียกร้องภายใน
         เชื่อกันว่าช่วงเวลาในการเลี้ยงดูลูกชายที่เสี่ยงต่อความล้มเหลวมากที่สุดคือในช่วงวัยนี้ละค่ะ ฝันร้ายของพ่อแม่ที่มีลูกชายวัยรุ่น ก็คือกลัวลูกจะไปทำอะไรที่เป็นเรื่องเสี่ยง กินเหล้า ติดยา ฯลฯ พฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นได้หากพ่อแม่ไม่ได้หาช่องทางให้ลูกชายได้ระบาย พลัง ที่อัดแน่น หรือความเป็นผู้ชายออกมา ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความเป็นฮีโร่ ความเก่งกล้าสามารถในทางที่สร้างสรรค์ เพราะฉะนั้น เราต้องเปิดโอกาสให้เด็กผู้ชายได้ออกกำลังกายให้มากๆ และสอนเขาให้ควบคุมตัวเองไม่ให้ใช้กำลังรุนแรงกับเพื่อนหรือเด็กผู้หญิง เรื่องเหล่านี้พ่อแม่ควรให้ความใส่ใจมากกว่าไปจำจี้จ้ำไชเรื่องการเรียนเพียงอย่างเดียว
สักวันคงได้เห็นสายรุ้งที่สวยงาม หลังจากผ่านพ้นพายุได้ค่ะ



ภาพจาก  http://www.hugaz.com